วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

65 กลวิธีพัฒนาสมอง สู่ขีดสูงสุดของศักยภาพ

 

ฝึกให้สมองสองซีกทำงานด้วยกันอย่างสมดุล

คำนำสำนักพิมพ์ 

65 กลวิธีพัฒนาสมองสู่ขีดสูงสุดของศักยภาพ จัดพิมพ์ขึ้นใหม่จากชื่อเดิม จินตนาการสู่การเรียนรู้ เคยเป็นหนังสือในโครงการ "พัฒนาครูในการสอนเด็กปฐมวัยให้มีศักยภาพการเรียนรู้ถึงขีดสูงสุด" เพื่อเผยแพร่ให้ครู ผู้ปกครองและผู้สนใจทั่วไป ได้เข้าใจถึงวิธีการเรียนรู้ของเด็กที่ถนัดใช้สมองซีกซ้ายและซีกขวา และพัฒนาเขาให้มีศักยภาพสูงสุดของความสามารถ เนื้อหายังคงมีความทันสมัย และใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเด็กปฐมวัยได้เป็นอย่างดีในปัจจุบัน

นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสอันดียิ่งที่อาจารย์หม่อมดุษฎี บรอพัตร ณ อยุธยา ซึ่งเป็นผู้ที่คลุกคลีและมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะพัฒนาการศึกษาของคนไทยให้มีคุณภาพมาเป็นเวลามาเป็นเวลามากกว่า 60 ปีแล้ว ท่านได้สละเวลาแปลหนังสือชุดนี้ เพื่อยังประโยชน์ให้แก่เด็กไทยและวงการศึกษาของไทย

นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์


คำปรารภจากผู้แปล 

คำนำหนังสือพิมพ์ ครั้งที่ 3
การเขียนคำนำใหม่ให้กับหนังสือที่พิมพ์เกือบ 20 ปี นั้นเขียนได้สองวิธีคือต่อเติมแก้ไขดัดแปลงข้อความตามต้องการหรือเขียนใหม่เป็นถ้อยแถลงความคิดอ่านใหม่ถอดด้าม

ข้าพเจ้าเลือกวิธีหลัง หลังจากมีชีวิตจนถึงวัย 90 ยาวนานพอที่จะมีความคิดใหม่ มีประสบการณืใหม่เกี่ยวกับเนื้อหาสาระของหนังสือสองเล่มนี้ การแก้ของเก่าต้องใช้เวลาอ่าน ขณะนี้เวลาที่เหลือของข้าพเจ้ามีไม่มากนัก ทุกนาทีมีค่า จะเสียเวลาค้นหาของเก่าที่เคี้ยวและคายแล้วว่ามีอะไรอยู่บ้างทำไมกัน

ข้าพเจ้าข้าพเจ้าขอให้คำนำที่เขียนขึ้นครั้งนี้เป็นคำนำของหนังสือสองเล่ม คือ Free Flight (จากศักยภาพสู่อิสรภาพ) Unicorns Are Real (จินตนาการสู่การเรียนรู้) ซึ่งเป็นหนังสือที่ข้าพเจ้าเรียกว่าคู่แฝด เขียนโดยบุคคลคนเดียวกัน ผู้แปลก็คนเดียวกันคือตัวข้าพเจ้าเอง

หลังจากเวลาที่ข้าพเจ้าแปลแล้วชีวิตของข้าพเจ้าผกผันและยุ่งเหยิงเรื่องงานจนไม่มีเวลาที่จะนั่งคิดและไต่ถามตนเองว่าเป็นผู้ที่ถนัดใช้สมองซักขวาหรือไร ทั้งๆ ที่รู้วิธีทดสอบจากอาจารย์บาร์บาร่า ผู้เขียน ว่าใครจะทดสอบว่าผู้ใดใช้สมองข้างใดก็ให้ใครคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัวโยนสิ่งของเล็กๆ ให้ผู้นั้น (โดยบอกให้รับมือเดียว) รับของในเวลาที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เป็นการรับของโดยอัตโนมัติ ถ้าผู้นั้นใช้มือขวารับก็แสดงว่าเขาผู้นั้นมีความถนัดใช้สมองซีกซ้าย ถ้าใช้มือซ้ายรับก็แสดงว่าเขาใช้สมองซีกขวามากกว่าซีกซ้าย การเคลื่อนไหว การกระทำของคนเป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับการทำงานของซีกสมอง ข้าพเจ้าให้ข้อมูลแก่ลูกศิษย์ลูกหาและผู้อยู่ใกล้ชิดเช่นนี้เสมอ แต่ด้วยเหตุผลกลไดไม่ทราบที่ไม่เคยคิดจะทดลองกับตัวเอง แต่มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10 ปีมาแล้ว ข้าพเจ้าเดินลงบันไดมาก็สังเกตุตัวเองว่าเราไม่ได้เดินสลับขา ใช้ขาข้างซ้ายเดินตลอดเวลา ครั้งสั่งตัวเองให้เอาขาข้างขวาลงก็รู้สึกว่าทำลำบาก จึงเกิดความเข้าใจในบัดดลว่าตัวข้าพเจ้าเป็นคนที่ถนัดใช้สมองซีกขวาเสียละกระมัง แต่ก็ยังไม่แน่ใจ จนกระทั่งวันหนึ่งได้คาถามาบทหนึ่ง ซึ่งมีความยาวไม่น้อยเลย ใช้ความเพียรพักใหญ่ก็ว่าได้หมดเป็นธรรมดาที่ข้อความอันใดที่ไม่รู้ไม่เข้าใจจะท่องจำได้ยาก แต่เหตุไฉนจึงทำได้ ทั้งที่อายุก็มากแล้ววิเคราะห์ดูก็พบว่ายามใดที่จำได้อย่างขลุกขลัก ภาพของหนังสือก็ปรากฎขึ้นตรงหน้า ไม่ว่าเป็นตัวหนังสือหรือตำแหน่งตัวอักษร จึงบอกตัวเองว่าน่าจะเปฯคนใช้สมองซีกขวาอย่างแน่แท้

ข้าพเจ้าเรียนรู้จากปากอาจารย์บาร์บาร่า ผู้เขียนอีกนั่นแหล่ะว่ามนุษย์มีกลไกในสมองที่สำคัญ ทำหน้าที่ป้อนข้อมูลที่เป็นคำตอบในลักษณะฟ้าแลบ ซึ่งนักการศึกษาเราเรียกว่า intuition เป้นผลการทำงานของสมองซีกขวา (แถวหน้าผาก) เป็นกลไกที่ทำงานโดยอัตโนมัติ กลไกที่ว่านี้ไม่เป็นรูปเป็นร่างให้เห็นหรือจับต้องได้เหมือนร่างกายส่วนอื่นๆ เป็นความคิดที่ผุดขึ้นในบัดดล (บางคนอาจจะได้ยินเป็นเสียง บางคนอาจจะเห็นเป็นภาพ) ข้าพเจ้าสังเกตุว่าเด็กๆ เกิดมาด้วยความสามารถดังกล่าว แต่มันค่อยๆ หายไปเพราะวิธีการอบรมบ่มนิสัยของผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าจำได้ว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นครั้งหนึ่งกับหลานของข้าพเจ้า ขณะนั้นเขายังเป็นเด็กแบเบาะอยู่เลย ในวันนั้นพ่อแม่ไมได้อยู่ด้วย มีข้าพเจ้านั่งดูแลอยู่ข้างๆ บัดดลเขาร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง ไม่มีคำพูดหรือวิธีปลอบอันใดที่จะทำให้หยุดได้ มิช่ามินานพ่อแม่เด็กก็กลับมา เมื่อเห็นอาการลูก แมงของเด็กก็ตกใจโทรศัพท์ชนิดที่เรียกว่า hot line ถึงแพทย์ไม่นานวางหูแล้วก็บอกข้าพเจ้าว่าหมอแนะนำให้เด็กอาบน้ำอุ่นแล้วเช็ดตัวให้แห้ง ไม่ช้าจะหายเอง ความปรากฎในภายหลังว่าในวันนั้น (เวลาเดียวกันที่เด็กร้องไห้) พ่อแม่ทะเลาะกันอย่างรุนแรงแม้ทั้งสองจะอยู่ห่างไกลจากเด็กไม่ทราบว่ากี่ร้อยกี่พันไมล์เด็กก็สามารถรับรู้ได้ ผู้อยู่ใกล้ตัวกลับไม่ทราบสาเหตุเลย

อีกครั้งหนึ่งมีเหตุการณ์น่าพิศวงสงกาอย่างยิ่ง เวลานั้นข้าพเจ้าทำงานชั่วคราวอยู่ ณ ศูนย์การค้าอันลือชื่อแห่งหนึ่ง วันที่เกิดเหตุนั้นข้าพเจ้าถึงที่ทำงานเร็วกว่าปกติ ข้พเจ้าพบว่ามีคนแปลกหน้านั่งในห้องทำงานทำงานสามคน คนหนึ่งผิวดำหน้าตาถมึงทึง ความคิดของข้าพเจ้าที่ผุดขึ้นในขณะนั้นคือท่านผู้นี้น่ากลัว ไม่น่าไว้วางใจ จึงเมื่อได้พบเจ้าของสำนักงานในเวลาต่อมา ข้าพเจ้าก็กระซิบท่านผู้นี้ว่า "ใครก็ไม่รู้มาหาคุณ ท่าทางไม่น่าไว้วางใจ ระวังตัวให้ดี เขาอาจจะทำให้คุณหมดตัวได้" ต่อมาไม่นานความก็ปรากฏ ท่านผู้นั้นซึ่งเป็นสหายที่รักของข้าพเจ้าคนหนึ่ง ก็ถูกโกงเกือบหมดตัว เรื่องนี้เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าและสหายของข้าพเจ้า ไม่รู้จักคนคนนี้มาก่อนเลย

เราเป็นครู น่าจะรู้วิธีสังเกตว่าเด็กคนใดถนัดใช้สมองซีกไหนข้าพเจ้ามีวิธีสังเกตง่ายๆ เด็กประเภทนี้มักจะเป็นเด็กที่นั่งเงียบอยู่หลังห้อง ดวงตามักจะมองออกไปข้างนอก เวลาทำงานเสร็จแล้วมักเดินแกล้งเย้าแหย่เพื่อน โดยการจับกระพุ้งแก้มบ้าง ใช้นิ้วมือจี้สีข้างบ้างมักขออนุญาตเ้าห้องน้ำบ่อยครั้ง ลุกขึ้นเหลาดินสอก็บ่อยทั้งที่ดินสออยู่ในสภาพที่เขียนได้ ข้าพเจ้ามีนิสัยชอบจดบันทึกไม่ว่าอะไร โดยเฉพาะเวลาการบรรยาย แต่ไม่ค่อยได้อ่านทบทวน แปลได้ว่ากรที่จดบันทึกนั้นเป็นการเคลื่อนไหวที่กระตุ้นทำให้สมองเคลื่อนไหว คือทำให้สมองทำงานเท่านั้น พฤติกรรมดังกล่าวเป็นพฤติกรรมของคนที่ถนัดใช้สมองด้านขวา

อาจารย์บาร์บาบาร่าบอก้าพเจ้าอีกว่า ตอนกลางวันมนุษย์จะใช้สมองข้างซ้ายมากกว่าข้างขวาจะทำงานได้ติดต่อกันได้ประมาณสองชั่่วโมง หลังจากนั้นความเปลี่ยนแปลงเป็นสัญลักษณืซึ่งบอกให้ตัวว่าสมองข้างซ้ายทำงานเหนื่อยแล้ว สมอง้างขวาขอเวลาทำงานบ้าง ก้เมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นเราเป็นครูน่าจะช่วยเด็กได้ไม่อยาก เช่นออกคำสั่งให้เคลื่อนไหวอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทำอะไรที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เช่นให้ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ ขยับแข้งขยับขา หรือเดินย่องรอบห้องในเวลากลางคืนในทางตรงกัันข้ามกันสมองซีกขวาก็จะทำงานมากกว่าซีกซ้าย หลังจากที่เราหลับสนิทเป็นเวลาอย่างน้อย 4-5 ชั่วโมง สมองได้พักผ่อนแล้วอย่างพอควรความคิดดีๆ ก็จะแว็บหรือผุดขึ้นในสมอง ปัญหาอันใดที่ขัดข้องมาตลอดวัน (หรืเป็นเวลานาน) ดูจะหาคำตอบได้ในเวลานั้น ถ้าท่านมีกระดาษอยู่ข้างเตียง ท่านต้องจดความคิดที่ผุดขึ้นมาในสมองขณะนั้นทันที มิเช่นนั้นความคิดหรือคำพูดเหล่านั้นจะไม่กลับมาอีกเลย เวลากลางวันก็เช่นเดียวกัน ขณะทำการใดๆ ที่จะช่วยคลายความเครียดความเคร่งตึงของสมอง เ่น เวลาที่นั่งอยู่ในอ่างน้ำร้อนหรืออยู่ในที่เงียบสงัดเป็นเวลานาน คำตอบปัญหาต่างๆ หรือความคิดดีๆ จะผุดขึ้นมา ทุกคนรู้เรื่องราวของอาคิมีดิส (Archimedes) ท่านผู้เป็นเจ้าของทฤษฎีคณิตศาสตร์ของกรีซอันลือชื่อ ผุ็คิดค้นสมการหาปริมาตรของรูปทรงที่เกิดจากพื้นผิวแลได้จากการหมุน ท่านหาคตอบได้ (หลังจากขบคิดค้นหามาเปผ้นเวลานาน) ใขณะนอนทอดตัวอยู่ในอ่างน้ำ พลันคิดได้ก็วิ่งออกมานอกบ้านในสภพร่างกายเปล่าเปลือยและร้องว่า eureka (ยูเรก้า แปลว่า ค้นพบแล้ว) เมื่อคลื่นสมองอยู่ในระดับ alpha (คือเมื่อคลายเครียด) เช่น เวลานั่งสมาธิให้จิตสงบ ความคิดเป็นระเบียบไม่สับสน คำตอบที่ต้องการก็จะผุดขึ้นมา

เราหัดเด็กให้นั่งนิ่งๆ ห้จิตสงบได้ตั้งแต่ปฐมวัยไม่ใช่ตอนการนั่งทำสมาธิหรือเดินจงกรม แต่ให้เริ่มึกหัดให้รู้ตัวรู้ตนด้วยการหัดให้เด็กอยู่นิ่งก่อน (immobility) แล้วก็ใช้เพลงหรืออาณัติสัญญาณอื่นๆ เช่น ใช้กระดิ่งหรือเพลงที่เลือกเปิดซ้ำกันทุกวัน ัดหมายให้เด็กหยุดอยู่กับที่ไม่วา ณ ที่ใด (ไม่จำเป็นต้องหลับตา) เป็นการฝึกให้เด็กพักผ่อนร่างกายและจิตใจให้โอกาสสมองข้างซ้ายหยุดทำงานพัผ่อนบ้าง และเป็นการฝึกให้สมองสองซีกทำงานด้วยกันได้อย่ามีสมดุลในแต่ละวัน

ที่เล่ามาเป็นประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่ผ่านมา ทำให้คิดว่าน่าจะมีการรวมประสบการณ์ทำนองนี้ของทุกคนไว้พิมพ์ไว้ได้อ่านทั่งึงกัน

ข้าพเจ้าได้พบปะพูดคุกับผู้เขียนสามครั้ง เธอมาประเทศไทยในฐานะวิทยากรัเชิญขอพวกเรา ระหว่างการสนทนาเราก็มีเรื่องแลกเปลี่ยนพูดคุยกันมากมาย บาร์บาร่าเป้นคนหนึ่งที่มีลักษณะนิสันและชีวิตที่แปลก ค่อนข้างพิสดาร ที่ชัดเจนและแน่นอนก็คือเธอเป็นคนมี intuition มีอัธยาศัยนิ่มนวลแบบคนตะวันออก เมื่อผสมผสานกับความฉลาดปราดเปรียวแบบฝรั่งตะวันตกก็ทำให้เป็นคนน่าคบหาเป็นคนที่น่าทึ่ง เธอเขียนหนังสือทำนองประวัติส่วนตัวและเป็นคู่มือครูด้วยเอาประสบการณ์จริงมาเล่า เมื่อเป็เด็กเธอก็ต้องหาวิธีช่วยตัวเองหาวิธรเรียนเองเพราะเรียนรู้อย่างอื่นมิได้ เมื่อเป็นครูก็ต้องค้นหาวิธีสอนใหม่เพราะใช้วิธีแบบเดิมๆ มิได้ พวกที่เป็นอย่างเธอผู้นี้มีจำนวนไม่น้อยไม่โง่กว่า (อาจฉลาดกว่า) แต่ที่แน่นอนมีวิธีเรียนรู้ซึ่งไม่เหมือนใครเท่านั้นเอง

จากพี่น้องซึ่งถนัดใช้สมองซีกขวาคนหนึ่ง
หม่อมดุษฎีบริพัตร ณ อยุธยา
บ้านชัยพฤกษ์ 4/1 ถนนพุทธมณฑลสาย 2 ซอย 7 
แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กรุงเทพมหานคร 10160
วันที่ 1 เดือนกันยายน พ.ศ. 2557


สารบัญ

บทที่ 1 : ความถนัดของซีกสมอง (hemidpheric specialization)
บทที่ 2 : รูปแบบและวิธีคัดแยกเบื้องต้นเพื่อประเมินความถนััด (modality and dominance screening)
บทที่ 3 : กลยุทธการเรียนรู้ (learning strategies)
  • การเดินที่ใช้แขนขาเคลื่อนไหวสลับข้างกัน (cross-lateral march)
  • กิจกรรมส่งประสาทสัมผัสทางแฮปติก (haptic activities)
  • การรู้สึกด้วยการแตะสัมผัส (sensing through touch)
  • วิธีอ่านทั้งคำ (whole-word approach)
  • การออกเสียงสะกดตัวอักษร (phonics)
  • การลำดับเหตุการณ์ (sequencing events)
  • การฝึกเรียงลำดับด้วยการใช้การเคลื่อนไหวลำตัว (sequencing using body movement)
  • โจทย์เลขที่เป็นเรื่องราว (story problems)
  • การสอนพยางค์ (teaching syllables)
  • สิ่งที่ตรงข้ามกัน (opposites)
  • ร้างกายที่จัดวางเป็นรูปนาฬิกา (the clock body)
  • วิธีสอนครึ่งชั่วโมง (teaching the half-hours)
  • การอ่านคร่าว ๆ ในลักษณะปูพื้น (grounding)
  • การบวกเลขอย่างง่าย (simple addition)
  • การบวกเลขหลายจำนวนในแนวตั้ง (column addition)
  • การทดเลข (carrying)
  • การลบเลข (subtraction)
  • สูตรคูณแม่เก้า (nines tables)
  • การเล่นรูปตัดต่อ (puzzles)
  • การปรับและจัดระบบความรู้สึกของตนเอง (organizing feelings)
  • การจัดระเบียบที่บ้านและที่โรงเรียน (home and school organization)
  • การเขียนตัวหนังสือในแนวตั้ง (vertical writing)
  • ให้ทำงานโดยวิธีสุ่มหรือตามบุญตามกรรม (working at random)
  • การจัดระบบวิธีทำเลข (organizing processes)
  • การตอบข้อสอบ (test taking)
  • การจัดระบบโจทย์เลข (organizing math problems)
  • ให้ยึดติดอยู่กับสี แล้วอะไรๆ ก็จะดีขึ้น (color grounding)
  • การใช้สีเขียนตัวหนังสือ (color writing)
  • การเขียนตัวอักษรเป็นสีรุ้ง (rainbow letters)
  • การสอนทิศทาง (teaching directionality)
  • ข้าวสารย้อมสี (dyed rice)
  • คำที่ใช้เป็นรูปแบบ (word patterns)
  • การขอยืม (borrowing)
  • หลักหน่วย หลักสิบ หลักร้อย (ones-tens-hundreds)
  • ต้นแบบหรือตัวอย่าง (visual models)
  • รูปทรงสัณฐานอันเป็นกรอบนอก (configuration)
  • คำวิบาก (obstacle words)
  • รูปวาดเส้นประอันสร้างสรรค์ (creative dittos)
  • กระดานหน้าห้องเรียน (chalk board)
  • กระดานบนตัก (lap boards)
  • เรียนตัวอักษรด้วยการคลาน (crawling letters)
  • .ใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มฉันไว้ (toothpick me)
  • การอ่านโดยใช้ปัญญาญาณหรือความสามารถพิเศษ (intuitive reading)
  • นายแจ็กส์ผลุบโผล่ (Jumping Jacks)
  • สอนเรื่องสี (teaching color)
  • ห่อหุ้มคลุมตัวด้วยสีสัน (rolling in color)
  • เมื่อได้รสได้ลิ้มชิมสีสัน (eating color)
  • ไฟฉายใช้เขียนก็ได้ ใช้อ่านก็ดี (flashlight tracking)
  • นิตยสารช่วยสอน (magazine tracking)
  • การเขียนอักษรตัวเต็ม (cursive writing)
  • การเขียนอักษรตัวเขียน (cursive writing)
  • การเขียนในอากาศ (air writing)
  • การเขียนที่อาศัยการแตะสัมผัส (tactile writing)
  • การวาดรูปด้วยการละเลงสี (finger painting words)
  • การทาสีด้วยน้ำ (water painting)
  • การใช้แปรงสีฟัน (tooth brushing)
  • คำและรูปทรง (words and shapes)
  • ตัวเลขและรูปทรง (number and shapes)
  • เสียงและรูปทรง (sounds and shapes)
  • โดมิโนและลูกเต๋า (dominoes and dice)
  • กริยาช่วยต่างๆ (helping verbs)
  • ดนตรี (music)
  • การเคลื่อนไหวและดนตรี (movement and music)
  • ร้องเพลงสะกดตัวอักษร (singing spelling words)
บทที่ 4 ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง (one step beyond)

อารัมภบท

เมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็กมีปัญหาเรียนหนังสือไม่ได้ ทั้งได้ชื่อว่าเป็นเด็กช้า โง่ทึบ ในระหว่างเข้าโรงเรียน 4 ปีแรก ข้าพเจ้าอ่านหนังสือไม่ออก จนกระทั่งอายุ 12 ขวบ แม้ตราบเท่าทุกวันนี้ ข้าพเจ้าก็ยังมีความสับสนทางภาษาขั้นรุนแรงอยู่

เมื่อไม่นานมานี้เอง ข้าพเจ้าเดินเข้าไปในร้านแห่งหนึ่งถามหาแผนก "ยานกจักร (จักรยาน)" เคราะห์ดีที่พนักงานเข้าใจการใช้พยางค์สลับกับกันของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้ซื้อรถ "ยานกจักร" สีแดงสามเกียร์ได้สมดั่งใจปอง

หากว่าข้าพเจ้าเขียนอะไรกลับกันให้ท่านอ่านก็โปรดอย่าได้สงสัยหรือกังวลใจอะไรเลย ข้าพเจ้าก็คงเขียนออกมาเช่นนั้นจริงๆ และถ้าหากข้อเขียนบางตอนอ่านดูประหลาดๆ พิกล ๆ คำที่ใช้ดูไม่กลมกลืนผสมผสานกันเท่าใดนัก ก็จงอย่าได้พิศวงสงกาอีกเช่นกัน บางทีคำผิด ๆ เพี้ยน ๆ ทั้งหลายของข้าพเจ้านึกสนุกแอบเล็ดลอดออกมาเข้าแถวเบียดรวมกับคำอื่นๆ ที่ข้าพเจ้าเขียนก็เท่านั้นแหล่ะค่ะ

ข้าพเจ้ายังมองเห็นอะไรซ้อนกันเป็นสองและกลับทางกันอยู่บ่อยๆ แม้ว่าปกติข้าพเจ้าไม่รู้ตัวเลยว่าตนมีพฤติกรรมเช่นว่านี้ ข้าพเจ้าก็ยังสะกดตัวไม่สู้ได้อยู่นั่นเอง ดังนั้น ท่านจงกรุณาอย่าได้นำพาต่อตัวสะกดผิด ๆ แผลง ๆ ของข้าพเจ้าเลย เว้นเสียแต่ว่า บรรณาธิการของข้าพเจ้าได้กรุณาจัดการแก้ไขให้เรียบร้อยแล้ว

นอกจากปัญหาที่ได้พรรณนามา ข้าพเจ้าก็นับว่ามีความสามารถพอตัว เป็นคนที่สามารถจริงๆ นะคะ ไม่ได้พูดเล่นเลยแม้แต่นิดเดียว

ข้าพเจ้าเป็นคนโชคดี เมื่อเรียนอยู่ในชั้นประถมปีที่ 5 คุณครูผู้วิเศษท่านหนึ่งเป็นผู้ค้นพบและรังสรรค์ข้าพเจ้า ท่านมีความเชื่อมั่นในตัวข้าพเจ้าท่านเพียรพยายามอุ้มชูช่วยเหลือจนข้าพเจ้ามีความศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวเอง ท่านได้ย้ำข้าพเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า วิธีคิดของข้าพเจ้านั้นไม่เพียงแต่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนแล้ว ยังมีลักษณะพิเศษเป็นอเนกประการ! แล้ท่านก็สอนให้ข้าพเจ้าอ่านออกจนได้ ท่านไม่ได้ยื่นหนังสืออ่านแบบมูลบทให้ข้าะเจ้าอ่าน หรือให้ข้าพเจ้าเข้ากลุ่มเรียนกับคนอื่น แต่ท่านอนุญาตให้ข้าพเจ้าเข้ากลุ่มเรียนกับคนอื่น แต่ท่านอนุญาติให้ข้าพเจ้าเลือกหนังสืออ่านเอง ข้าพเจ้าเลือกนวนิยายของกริมม์ เป็นหนังสือที่ยากแสนเข็ญ แต่คุณครูท่านไม่เคยทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย เราท่องจำและเรียนรู้ทีละคำ จนกระทั่งข้าพเจ้าอ่านได้ทั้งเล่ม นอกจากนั้น คุณครูท่านนี้ยังให้ข้าพเจ้าภาพสถานที่แห่งเดียวในโลกที่ข้าพเจ้าอยากไปเที่ยวมากที่สุด ข้าพเจ้ายังจดจำสมุดเล่มนั้นได้ดี ข้าพเจ้าเลือกรัฐวอชิงตันด้วยมีจิตพิสมัยภูเขาสูงตระหง่านทะมอเมื่อมและหุบเขาเขียวชอุ่มพุ่มไสวของที่นั่น ข้าพเจ้าอ่านคำพูดทุกคำที่เป็นข้อความอธิบายใต้รูปภาพภายในสมุดภาพเล่มนั้น จนบัดนี้ข้าพเจ้ายังคงระลึกถึงมันด้วยความหฤหรรษ์มิเหือดหาย

ต่อมาเมื่อข้าพเจ้าขึ้นไปเรียนชั้นมัธยม คุณครูท่านที่สอนภาษาอังกฤษให้ข้าพเจ้าเป็นอีกท่านหนึ่งที่ช่วยให้ข้าพเจ้าได้ค้นพบและสร้างเสริมความคิดสร้างสรรค์ของข้าพเจ้า รวมทั้งการค้นพบและรู้จักตนเองด้วย ท่านสนับสนุนให้ข้าพเจ้าเขียน ยอมรับงานกวี และเรื่องที่แต่งไปโดยไม่พะวงกวดขันตัวสะกดของข้าพเจ้าเลย ไม่แม้แต่จะหัวเราะความเปิ่นความครึของข้าพเจ้าเมื่อในวันหนึ่งในชั่วโมงวรรณคดี ข้าพเจ้าลุกขึ้นยืนต่อหน้าชั้น อ่านรายงานเกี่ยวกับบทประพันธ์ของกวีคนโปรดของข้าพเจ้าชื่ออานอน!! (Anon ตัวย่อของคำว่า Anonymous ซึ่งแปลว่า นิรนาม) 

นักศึกษาและผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์หลายสาขาต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ปัญหางการเรียนอาจถ่ายทอดกันได้ทางกรรมพนธ์ ข้าพเจ้ายืนยัยได้เลยว่าปัญหาทางการเรียนนี้เป็นเรื่องของสายพันธ์แน่แท้ ลูกของข้าพเจ้าได้รับสืบทอดไปทั้ง 2 คน บุตรสาวของข้าพเจ้าอายุ 23 ปี ยังคงไม่รู้สายรู้ขวาอยู่นั่นเอง วันหนึ่งข้าพเจ้าบอกทางให้ไปชายหาดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเราไม่ถึง 5 ไมล์ แล้วเจ้าหล่อนก็ไปไกลถึงกึ่งกลางรัฐของเรานั่นแน่ะ! บุตรชายข้าพเจ้าฉลาดเหยียบขั้นอัจฉริยะแต่ได้ชื่อว่าเป็นคนไม่อยู่นิ่ง เป็นประเภทที่ "เตะโด่งแม่" อยู่เป็นนิจศีลแถมมีภูมิแพ้ร้อยพันชนิด บัดนี้อายุย่างยี่สิบแล้ว ก็ยังคงเป็นคนที่เตะแม่โด่งถึงเพดานอย่างไม่เปลี่ยนแปลงอยู่นั่นเอง

โดยเหตุที่เป็นคนที่มีความทุกข์ทรมานด้วยปัญหาการเรียนมาตลอด ตั้งแต่เป็นเด็กจนกระทั่งเป็นแม่คนก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า เด็กที่นั่งเรียนแล้วไม่รู้เรื่องนั้นเป็นเด็กที่มีความทุกข์อันมหันต์เพียงไร

2 - 3 ปีที่ผ่านมา มีผู้คนเรียกขานเด็กพวกนี้ว่าเป็นเด็กที่มีคลื่นสมองระดับแอลฟา ถนัดใช้สมองซีกขวา และเป็นคนสร้างสรรค์ไม่เหมือนเด็กปกติธรรมดา การวิจัยลาสุดเกี่ยวกับพัฒนาการและความถนัดของสมองได้เปิดประตูออกกว้างให้เราได้มองเห็นและเข้าใจว่า เด็กมีวิธีเรียนรู้อย่างไรบ้าง หลายคนเชื่อว่า การค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับความถนัดของสมองทั้ง 2 ซีก มีผลกระทบอย่างสำคัญต่อวิธีการที่เราจะปฏิบัติต่อเด็กทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนว่าต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

การศึกษาส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังคงให้ความสำคัญต่อหลักสูตรที่สร้างขึ้นสำหรับเด็กที่ถนัดใช้สมองซีกซ้าย การค้นคว้าวิจัยทางการแพทย์ได้ขุดคุ้ยความรู้เกี่ยวกับสมองมากขึ้นทุกที บัดนี้เราเริ่มจะเข้าใจผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเด็กของเรา ความเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้น พ่อแม่ต่างตั้งต้นไถ่ถามอย่างสนใจใคร่รู้ พ่อแม่และครูเริ่มเข้าประชุมสัมนาหลายๆ โรงเรียนเริ่มนำความคิดใหม้เข้ามาประยุกต์สูตร แม้ปรากฏการณ์นี้ฟังดูเข้าที น่าตื่นเต้นระทึกใจ ปัญหาอันลึกล้ำอย่างหลากหลายก็ยังมีอยู่ สถานศึกษาระดับอุดมศึกษายังคงจัดการศึกษาเพื่อคนที่ถนัดใช้สมองซีกซ้าย ครูที่จบการศึกษาออกมาก็ยังยึดติดอยู่กับวิธีการเดิมๆ แต่มีครูที่ฉลาดและเชื่อญาณปัญญาของตนหลายคนต่างละทิ้งทุ่งหญ้าที่เก็บเกี่ยวมานานปีเพื่อแสวงหา "ทุ่งใหม่ที่มีหญ้าเขียวระบัด" หลายๆ คนที่ยังยึดติดอยู่กับ "ถิ่นเดิม" ก็เพราะเห็นว่า การย่ำเท้าอยู่ในระบบเก่าๆ ย่อมง่ายและสะดวกดายกว่าที่จะต่อสู้ฝืนทวนกระแส ยิ่งกว่านั้น พ่อแม่ปัจจุบันก็ยังคงเป็นผลผลิตของระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม หลายคนจึงไม่สามารถที่จะเข้าใจเด็กของตนได้

แม้ห้องสมุดจะเต็มไปด้วยหนังสือเกี่ยวกับความถนัดของสมองแต่ข้าพเจ้ายังเข้าใจว่า ทั้งครูและพ่อแม่ผู้แม่ผู้ปกครองคงจะได้ประโยชน์มหาศาลจากข้อมูลที่ข้าพเจ้านำมาเรียบเรียงใหม่ โดยเน้นถึงทักษะการเรียนการสอนที่จำเป็น เพื่อเด็กจะได้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ ข้าพเจ้าเชื่อว่าเราน่าจะพิจารณาข้อมูลจากการค้นคว้าวิจัยเฉพาะด้านที่บอกเราว่าเด็กเรียนรู้อย่างไร แทนที่จะค้นหาสาเหตุว่าทำไมเด็กจึงเรียนไม่ได้ เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดที่จะเข้าใจว่าเด็กมีกระบวนการย่อยข้อมูลและเรียนรู้ด้วยลีลาและกลยุทธ์อันหลากหลาย ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าการพินิจพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนถึงความถนัดของสมองและรูปแบบการคิดของแต่ละคน จะช่วยให้เราได้พบวิธีการสอนที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะตัวของเด็กแต่ละคน

ถึงแม้ว่าระบบการศึกษาทั้งระะบบยังมีปัญหามากมายสุดจะเอื้อนเอ่ย แต่เราจะยกเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างที่จะไม่พยายามตอบสนองความต้องการของเด็กแต่ละคนไม่ได้ ความรับผิดชอบที่จะสรรหาประสบการณ์สำหรับผู้ที่ถนัดใช้สมองซีกขวาให้แก่เด็กอยู่ที่ผู้ปกครองและครู การทำใจให้กว้าง ให้สมองเปิดรับความสำคัญของการเรียนรู้ทั้งในรูปแบบของผู้ที่ถนัดใช้สมองซีกขวาและซีกซ้าย จะทำให้เราเรียรู้ที่จะเคารพความสามารถที่หลั่งไหลออกจากสมองซีกขวา

เด็กควรได้รับการสนับสนุนให้ได้ทดลองเรียนหลายวิธี เราในฐานะผู้ปกครอง พ่อ แม่ และครู ก็น่าจะเรียนรู้วิธีการพร้อม ๆ กันด้วย

"ทฤษฎีจะยังคงสภาพเป็นทฤษฎี ไม่ใช่ความจริงอันปฏิเสธไม่ได้ สิ่งที่ทฤษฎีให้ฉันก็คือ เป็นสิ่งที่เตือนใจฉันว่าฉันยังมีข้อคิดบางข้อซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความจริงที่เกิดขึ้นกับฉันเท่านั้น"
ฮิว แพรเทอร์

"A theory is a theory, not a reality. All a theory can do is remind me of certain thoughts that were a part of my reality then"
Hugh Prather


65 กลวิธีพัฒนาสมองสู่ขีดสูงสุดของศักยภาพ
Barbara Meister Vitale
www.mebmarket.com
บาร์บาร่า ไมสเตอร์ วิตาล ผู้เขียนได้นำประสบการณ์จริงมาเล่าโดยเขียนทำนองประวัติส่วนตัวและเป็นคู่มือครูด้วย เธอถนัดใช้สมองซีกขวาตอนเด็กเธอต้องหาวิธีช่วยเหลือตัวเอง หาวิธีเรียนเองเพราะเรียนรู้อย่างผู้อื่นมิได้เมื่อเป็นครูก็ต้องค้นหาวิธีสอนใหม่เพราะหลักสูตรใช้วิธีแบบเดิมๆซึ่งการพัฒนาสมองที่ได้ประสิทธิภาพที่สุดคือเริ่มตั้งแต่ปฐมวัย โดยฝึกให้เด็กใช้สมองทุกๆ ส่วนไปพร้อมๆ กัน บาร์บาร่าจึงรวบรวมเทคนิคการสอนเด็กไว้ทั้งหมด 65 วิธี เช่น การออกเสียงตัวสะกด การเขียนอักษรตัวเต็ม เสียงและรูปทรง การสอนเรื่องสี ตัวเลขและรูปทรง การสอนทิศทาง การบวกเลข การลบเลข วิธีสอนเรื่องเวลา เป็นต้น เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ปกครองและครูนำไปฝึกบุตรหลานฝึกสมอง 2 ซีก ทำงานด้วยกันอย่างสมดุล

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น