วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

มีดบินไม่พลาดเป้า เล่ม 2


มีดบินไม่พลาดเป้า เล่ม 2

ชุด มีดบินของลี้น้อยเซี่ยวลี้ปวยตอ

มือกระบี่มากรักกระบี่ไร้น้ำใจ จิตวิญญาณแห่งวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่

คำนำสำนักพิมพ์
"มีดบินไใม่พลาดเป้า" เป็นอมตะผลงานของ มังกรโบราณ "โก้วเล้ง"

"มีดบินไม่พลาดเป้า" เขียนถึงพฤติการณ์ของลีชิ้มฮัวผู้ตรอมตรม แฝงด้วยอดีตอันหม่นหมอง หากแต่มีดบินในมือของเขากลับเป็นที่คร่ำคร้ามของคนทั้งแผ่นดิน และเซี่ยวลี้ปวยตอ (มีบินของลี้น้อย) ไม่เคยพลาดเป้ามาก่อน

ด้วยตัวละครอันมีมิติ การดำเนินเรื่องที่ชวนติดตาม และปรัชญาแสนคมคายที่แฝงอยู่ในเรื่อง นักอ่านหลายท่าน นักวิจารณ์หลายคนล้วยแล้วแต่ยกย่องให้เรื่อง "มีดบินไม่พลาดเป้า" นี้ จัดเป็นผลงานที่ดีที่สุดของโก้วเล้ง

คำกล่าวนี้ที่แท้เป็นจริงหรือไม่ เมื่อท่านพลิกอ่านจบ ท่านจะทราบเอง
สำนักพิมพ์สยามอินเตอร์บุ๊คส์

คำนำผู้แปล
เซี่ยวลี้ปวยตอ (มีดบินไม่พลาดเป้า) ถือเป็นผลงานชิ้นสุดยอดในชีวิตการเขียนของ โกวเล้ง มังโบราณผู้ล่วงลับ ซึ่งเขียนภาคที่ 1 ตอเช้งเกี่ยม และบ้อเช้งเกี่ยม (มือกระบี่มากรักกระบี่ไร้น้ำใจ) เมื่อ ค.ศ. 1968 (พ.ศ. 2511)และเขียนภาคจบสมบูรณ์ทิต้าไต้เฮียบฮุ้น (ธาตุแท้วีรบุรุษหาญกล้า) ในต้นปี 1970 (พ.ศ. 2513) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไฟแห่งการสร้างสรรค์ของโก้วเล้งลุกโชนที่สุด และได้รับยกย่องเป็นวรรณกรรมกำลังภายในที่ดีเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ยุทธจักรนวนิยายยุคหลัง

ตัวเองของเรื่อง เซี่ยวลี้ปวยตอ (มีดบินไม่พลาดเป้า) มีหลายฉายานามด้วยกันทั้ง ท้ำฮวยนึ้ง (ท่านท้ำฮวย) ลี้ท้ำฮวย (ท้ำฮวยแซ่ลี้) เซี่ยวลี้ปวยตอ (มีดบินของลี้น้อย) และเซี่ยวลี้ซิ้งตอ (มีดบินวิเศษของลี้น้อย) แต่ชื่อแซ่ที่ออกเสียงตามสำเนียงแต้จิ๋วที่ต้องสมควรเรียกว่าลี้ชิ้มฮัว ซึ่งแปได้ความหมายว่าแสวงหาความสำราญ

เซี่ยวลี้ปวยตอ มีดบินไม่พลาดเป้าที่จัดพิมพ์ขึ้นใหม่นี้ เป็นฉบับลิขสิทธิ์ถูกต้อง แปลจากต้นฉบับจีนซึ่งจัดพิมพ์ที่ไต้หวันและฮ่องกง ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างแพร่หลาย

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คุณค่าแห่งวรรณกรรมของเซี่ยวลี้ปวยตอ มีดบินไม่พลาดเป้า ตลอดจนจริยธรรมอันยิ่งใหญ่ของลี้ชิ้มฮัว จะประทับอยู่ในความทรงจำของท่าน ชวนให้รำลึกนึกถึงตราบนานเท่านาน
น.นพรัตน์


มีดบินไม่พลาดเป้า เล่ม 2
โก้วเล้ง, น.นพรัตน์
www.mebmarket.com
เรื่องราวเล่าถึง มีดสั้นยาวสามนิ้วเจ็ดหนุของลี้น้อยหรือลี้ชิ้มฮัวที่ไม่เคยพลาดเป้าและเป็นที่ครั่นคร้ามทั้งยุทธจักรเล่าถึงอาฮุยมือกระบี่ผู้เงียบขรึมแต่ระอุอุ่นด้วยน้ำใจ เล่าถึงลิ้มเซียนยี้ สตรีผู้มีความงามปานล่มเมือง และเล่าถึงเซี่ยงกัวกิมฮ้งยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแผ่นดิน ทุกคนผูกพันบุญคุณความแค้นของยุทธจักรโก้วเล้งดำเนินเรื่องราวอย่างคมคายด้วยปรัชญา เข้มข้นด้วยบทบู๊อันรวบรัด สมกับที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสุดยอดนวนิยายกำลังภายใจของมังกรโบราณท่านนี้

บทที่ 18 เหตุแปรเปลี่ยนรายทาง

ลี้ชิ้มฮัวเอนการบนตัวรถ มองดูซิมไบ๊ไต้ซือกับฉั้งฉิกที่ด้านตรงข้ามคล้ายมองดูจนกระตือรือร้นสนใจ อดยิ้มออกมามิได้

ฉั้งฉิกถลึงมองลี้ชิ้มฮัว กล่าวว่า "ท่านรู้สึกว่าพวกเราขบขันยิ่ง?" 

ลี้ชิ้มฮัวเสียงเนิบนาบว่า "ข้าพเจ้าเพียงรู้สึกว่าน่าสนใจ ยิ่ง" 

"น่าสนใจยิ่ง?"

ลี้ชิ้มฮัวอ้าปากหาวคำหนึ่ง หลับตาลง คล้ายคิดหลับใหลแล้ว

ฉั้งฉิกยื่นมือรวบคว้าปกเสื้อลี้ชิ้มฮัว กล่าวว่า "เรามีอันใดน่าสนใจ?"

ลิ้ชิ้มฮัวกล่าวว่า "ขออภัย ข้าพเจ้าไม่ได้หมายถึงท่าน ในโลกแม้มีผู้คนมากหลายน่าสนใจ ท่านกลับมีข้อยกเว้น ท่านไม่น่าสนใจถึงที่สุด"

ฉั้งฉิกหน้าแปรเปลี่ยนไป ถลึงมองลี้ชิ้มฮัวชั่วขณะ ในที่สุดคลายมือออกช้าๆ 

ซิมไบ๊ไต้ซือคล้ายไม่ได้รับฟังคำโต้ตอบของทั้งสอง แต่ยามนี้อดกล่าวมิได้ว่า "ท่านเห็นอาตมาน่าสนใจยิ่ง?"

ลี้ชิ้มฮัวอ้าปากหาวอีกครา ยิ้มอย่างเกียจคร้านกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านน่าสนใจ" เพราะข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นหลวงจีนโดยสารรถมาก่อน ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าบรรพชิตไม่อาจขี่ม้า และไม่อาจโดยสารรถ"

ซิมไบ๊ไต้ซือกลับยิ้มออกมา กล่าวว่า "หลวงจีนก็เป็นคน มิเพียงต้องโดยสารรถ ยังต้องรับประทานข้าว"

"ท่านเมื่อโดยสารรถ ใยไม่นั่งให้สบายกว่านี้? ข้าพเจ้าดูจากท่านั่งของท่าน แทบเข้าใจว่าท่านมีฝีที่ก้นก็มิปาน"

ซิมใบ้ไต้ซือหน้าเคร่งเครียดลง กล่าวว่า "หรือทานต้องการให้เราปิดปากของท่าน?"

"หากท่านคิดปิดปากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอเสนอให้ขวดสุรา ทางที่ดีเป็นขวดสุราที่บรรจุด้วยสุรา"

ซิมไบ๊ไต้ซือกวาดมองฉั้งฉิกแว๊บหนึ่ง ฉัั้งฉิกยื่นมือออกช้าๆ จนถึงจุดใบ้ของลี้ชิ้มฮัว ยิ้มอย่างปลอดโปร่งกล่าวว่า "มือของเราข้างนี้พอกดลง ท่านคาดว่าจะเป็นอย่างไร?"

ลี้ชขิ้มฮัวยิ้มพลางกล่าวว่า "มือของท่านข้างนี้พอกดลง จะไม่ได้ยินคำพูดที่สนุุกสนานน่าสนใจแล้ว"

"ต่อให้เรา..."

เพิ่งกล่าวถึงตอนนี้ ไม่ทันกดมือลง พลันได้ยินม้าพ่วงพีแผดเสียงร้องด้วยความตระหนก คนขับรถตวาดด้วยโทสะ รถม้าพลันหยุดชะงักลง

รถม้าควบขับอย่างเร่งร้อน ยามนี้พลันหยุดลง ผู้คนภายในรถล้วนดีดกระดอนขึ้นจากที่นั่ง ศรีษะแทบปะทะชนกับเพดานรถ

ฉั้งฉิกกระชากเสียงว่า "เรื่องอันใด? หรือพวกเจ้า..."

พลางโพงกศรีษะออกนอกหน้าต่างรถ ต้องปิดปากลง สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไป

ที่ข้างทางซึ่งสุมด้วยหิมะ ปรากฏคนผู้หนึ่งยืนตัวตรง มือขวารบคว้าสายบังเหียนของม้าเทียมรถไว้ ม้าพ่วงพีแผดเสียงร้อง ยกขาหน้าขึ้น มือของมันกลับคล้ายหลอมจากเหล็ก ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

คนผู้นี้สวมชุดยาวสีเขียว แขนเสื้อกว้างใหญ่โชยพัดพลิ้ว ชุดยาวนี้ไม่ว่าสวมใส่บนร่างผู้ใด ออกจะยาวเกินไป แต่เมื่อสวมบนร่างมันยังคลุมไม่ถึงหัวเข่ามัน

คนชุดเขียวมีร่างสูงจนน่าตระหนก บนศรีษะพานสวมหมวกทรงสูงที่ประหลาดพิกลใบหนึ่ง ดูใบคล้ายต้นไม้เหียวโกร๋นต้นหนึ่ง

มือข้างหนึ่งสามารถเหนี่ยวรั้งม้าที่ห้อตะบึงเอาไว้ พละกำลังนี้เป็นที่น่าตระหนกจริงๆ แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าเป็นดวงตาของมัน นั่นถึงกับไม่คล้ายเป็นดวงตาผู้คน

ดวงตาของมันกลับเป็นสีเขียว ลูกตาเป็ยสีเขียว ตาขาวก็เป็นสีเขียวยามกระพริบเปล่งแสงวูบวาบราวไฟปีศาจกลางสุสานร้าง

ศีรษะของฉั้งฉิกเพิ่งยื่นออกไป ก็หดรั้งกลับมา ริมฝีปากซีดขาวอยู่บ้าง

ซิมไบ๊ไต้ซือถามว่า "ที่เบื้องนอกมีคน?"

ฉั้งฉิกรับคำดังอืมม์ ซิมไบ๊ไต้ซือขมวดคิ้วพลางถามว่า "ผู้ใด?"

ฉั้งฉิกกล่าวว่า "อีเข่า"

ลี้ชิ้มฮัวยิ้มออกมา กล่าวว่า "ที่แท้มาหาข้าพเจ้าเอง"

ซิมไบ๊ไต้ซือกล่าวถามว่า "แชม้อซิ่ว (มืออสูรเขียว) อีเข่าก็เป็นสหายของท่าน?"

ลี้ชิ้มฮัวยิ้มพลางกล่าวว่า "น่าเสียดายที่สหายผู้นี้ก็เฉกเช่นกับสหายอื่นของข้าพเจ้า ต้องการศรีษะของข้าพเจ้า"

ซิมไบ๊ไต้ซือหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ผลักประตูก้าวออกไปอย่างแช่มช้า ประนมเรียกหาว่า "ประสกแซ่อี"

มืออสูรเขียวอีเข่ากวาดตาเขียวปัดสำรวจมองท่านเที่ยวหนึ่งกล่าวเสียงเย็นชาว่า "เป็นซิมโอ้วหรือว่าซิมไบ๊?"

"อาตมาซิมไบ๊"

อีเข่ากล่าวว่า "คนในรถเป็นใคร?"

"บรรพชิตไม่มุสาวาจา ในรถนอกจากฉั้งฉิกเอี้ยแล้ว ยังมีประสกแซ่ลี้ท่านหนึ่ง"

"ประเสริฐ ท่านมอบตัวลี้ชิ้มฮัวออกมา เราจะปลดปล่อยท่านไป"

ซิมไบ๊ไต้ซือกล่าวว่า "อาตมาคิดนำตัวผู้แซ่ลี้กลับไปเสียวลิ้มยี่ จุประสงค์เพื่อตัดสินลงโทษ ประสกกับพวกเราเมื่อมีเป้าหมายศัตรูเดียวกันก็ไม่สมควรสกัดขัดขวาง"

อีเข่าตัดบทว่า "ท่านมอบตัวลี้ชิ้มฮัวออกมา เราจะปลดปล่อยท่านไป"

มันกล่าวไปกล่าวมา ยังคงเป็นคำพูดนี้ ไม่ว่าผู้อื่นกล่าวว่ากระไรปราศจากความรู้สึกอันใด

ซิมไบ๊ไต้ซือกล่าวว่า "หากอาตมาไม่รับปากจะเป็นอย่างไร?"

อีเข่ากล่าวว่า "อย่างนั้นฆ่าท่านก่อน ค่อยฆ่าลี้ชิ้มฮัว"

แขนซ้ายของมันตกห้อยลงตลอดเวลา แขนเสื้อโชยพัดพลิ้ว ปิดบังมือข้างนี้เอาไว้

ยามนี้มือข้างนี้พลันยื่นออก เห็นประกายสีเขียววูบขึ้นแวบหนึ่งตะใส่ซิมไบ๊ไต้ซืออย่างหักโหม กลับใช้ออกด้วยมืออสูรเขียวที่ชาวยุทธจักรได้ยินชื่อก็ขวัญฝ่อ

ซิมไบีไต้ซือส่งเสียงตวาดคำหนึ่ง ที่ด้านหลังปรากฏเงาร่างสีเทาสี่สายดาออกมา ซิมไบ๊ไต้ซือพอถลันหลบท่าตะปบนี้ หลวงจีนจีวรเทาทั้งสี่รูปก็รายล้มอีเข่าเอาไว้

อีเข่าหัวร่อเสียงเกรี้ยวกราด กล่าวว่า "ประเสริฐ เราคิดรับทราบค่ายกลอรหันต์ของเสียวลิ้มยี่ตั้งแต่แรก"

ในเสียงหัวร่ออันกราดเกรี้ยว พลันปรากฏควันเขียวสายหนึ่งพวยพุ่งออกแตกระเบิดดังปง ควันเขียวกลับกลายเป็นหมอกเขียวเต็มท้องฟ้า

ซิมไบ๊ไต้ซือหน้าแปรเปลี่ยนไป ร้องโพล่งว่า "รีบกลั้นลมหายใจไว้"

ท่านเพียงเตือนภัยต่อศิษย์ในสังกัด กลับลืมเลือนตัวเอง คำ "รีบ" พอกล่าวรู้สึกมีกลิ่นคาวหอบหนึ่งพวยพุ่งเข้าปาก

หลวงจีนเสียวลิ้มยี่เห็นซิมไบ๊ไต้ซือหน้าแปรเปลี่ยนกลับกลายพลอยตระหนกจนหน้าถอดสี

เห็นซิมไบ๊ไต้ซือตีลังกากลางอากาศทอดหนึ่ง พุ่งปราดออกไปสามวา จากนั้นทรุดนั่งขัดสมาธิกับพื้น ใช้พลังการฝึกปรือหลายสิบปี รีดเร้นควันพิษสายนี้ออกมา

หลวงจีนเสียวลิ้มยี่ทั้งสี่รูปขยับกายวูบ ยืนเรียงรายขวางอยู่เบื้องหน้าของท่าน ในสถานการณ์เช่น เหล่าหลวงจีนเสียวลิ้มยี่คำนึงถึงซิมไบ๊ไต้ซืก่อน ทอดทิ้งลี้ชิ้มฮัวโดยไม่แยแส

แต่อีเข่ากระทั่งเหลือบแล หลวงจีนเหล่านั้น พุ่งขวับถึงหน้าประตูรถ

ลี้ชิ้มฮัวยังเอนกายอยู่ภายในรถ ฉั้งฉิกกลับหายสาบสูญไป

อีเข่าถลึงมองลี้ชิ้มฮัว ถามย้ำทีละคำว่า "ท่านเป็นคนฆ่าคูต๊ก?"

ลี้ชิ้มฮัวรับคำดังอืมม์ อีเข่ากล่าวว่า "ประเสริฐ ชีวิตของคูต๊กแลกกับชีวิตของลี้ชิ้มฮัว แม้ตายก็คู่ควร"

พลางตวัดมืออสูรเขียวขึ้นอีกครา...

อาฮุยเหม่อมองดูเพดานห้อง ผ่านไปเนิ่นนานยังไม่กล่าววาจา
ลิ้มเซียนยี้กล่าวเสียงนุ่มนวลว่า "ท่านคิดอะไร?"

อาฮุยกล่าวว่า "ท่านบอกว่าระหว่างทางลี้ชิ้มฮัวไม่มีอันตรายใด?"

ลิ้มเซียนยี้ยิ้มพลางกล่าวว่า "ไม่เด็ดขาด เมื่อมีซิมไบ๊ไต้ซือกับฉั้งฉิกคอยคุ้มครองเขา ยังมีผู้ใดกล้ากระทบกระทั่งเขาปม้สักขุขนหนึ่ง?"

นางลูบคลำเรือนผมของอาฮุยอย่างแผ่วเบา กล่าวอีกว่า "ท่านต้องเชื่อถือข้าพเจ้า หลับใหลอย่างวางใจ ข้าพเจ้าจะอยู่ที่นี้โดยไม่จากไป"

อาฮุยจับจ้องมองนาง ประกายตาของนางนุ่มนวลถึงเพียงนั้น จริงใจถึงเพียงนั้น

ในที่สุดเปลือกตาของอาฮุยปิดลงอย่างแช่มช้า


อีเข่าถลึงมองลี้ชิ้มฮัว แสยะยิ้มพลางกล่าวว่า "ท่านยังมีคำพูดใดจะกล่าว?

ลี้ชิ้มฮัวมองดูมืออสูรเขียวที่สะท้อนประกายสีเขียวของอีเข่ากล่าวอย่างแช่มช้าว่า "มีเพียงประโยคเดียว"

อีเข่ากล่าวว่า "ประโยคใด? ท่านบอก"

ลี้ชิ้มฮัวทอดถอนใจกล่าวว่า "ท่านไยต้องมาหาที่ตาย?"

มือของเขาสะบัดออกไป

ประกายมีดวูบขึ้นแวบหนึ่ง อีเข่าก็หงายร่างตีลังกาออกไป

บนพื้นหิมะเพิ่มหยดโลหิตขึ้นหยดหนึ่ง

เหลียวดูร่างของอีเข่า พบว่าล่วงหน้าไปหลายวาแล้ว แต่ยังร้องเสียบแหบพร่าว่า "ลี้ชิ้มฮัวท่านจดจำไว้ เรา..."

เอ่ยถึงตอนนี้ ซุ่มเสียงพลันชะงักขาดหาย

ลมหนาวคล้ายคมมีด แผ่นฟ้าแผ่นดินแฝงกลิ่นอายฆ่าฟัน พื้นหิมะกลายเป็นเงียบงันราวความตาย

พลันบังเกิดเสียงปรบมือดังขึ้น ฉั้งฉิกมุดออกจากหลังตัวรถ ปรบมือกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า "ประเสริฐ ประเสริฐ เซี่ยงลี้ปวยตอ (มีดบินของลี้น้อย) ไม่เคยจู่โจมพลาดเป้า ยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือจริงๆ"

ลี้ชิ้มฮัวเงียบงันชั่วขณะ จึงกล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า "หากท่านยินยอมตบคลายจุดให้แก่ข้าพเจ้าจนหมดสิ้น มันก็ไม่อาจหนีรอดได้"

ฉั้งฉิกยิ้มพลางกล่าวว่า "ท่านเพียงมีมือคู่หนึ่งที่เคลื่อนไหวได้ มีดเล่มหนึ่งซัดออกได้ แต่ก็ทำร้ายอีเข่ารับบาดเจ็บหลบหนีไป บุคคลเช่นท่านนี้ เราไหนเลยไม่ระมัดระวังเป็นพิเศษ จับตาดูให้มากไว้?"

ยามนั้น เหล่าหลวงจีนเสียวลิ้มยี่ค่อยประคองซิมไบ๊ไต้ซือเดินเข้ามา

ซิมไบ๊ไต้ซือหน้าเหลืองซีด พอก้าวขึ้นรถ ก็หอบหายใจกล่าวว่า "รีบด่วน รีบไป"

รอจนรถม้าควบขับออกเดินทาง ซิมไบ๊ไต้ซือค่อยทอดถอนใจยาวกล่าวว่า "มืออสูรเขียวอันชั่วร้ายนัก"

ฉั้งฉิกยิ้มพลางกล่าวเสริมว่า "ที่ชั่วร้ายอำมหิตยิ่งกว่าคือเซี่ยวลี้ปวยตอ"

ซิมไบ๊ไต้ซือมองดูลี้ชิ้มฮัว กล่าวว่า "ท่านกลับยินยอมยื่นมือช่วยเหลือ นับเป็นที่เหนือความคาดหมายอาตมานัก"

ลี้ชิ้มฮัวยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า "ที่ข้าพเจ้าช่วยเหลือมิใช่ท่าน หากแต่เป็นข้าพเจ้าเอง ท่านไม่ต้องเหนือความคาดหมาย และไม่ต้องขอบคุณข้าพเจ้า"

ฉั้งฉิกกล่าวว่า "ก่อนหน้านี้เราถามมันว่า ยินยอมติดตามพวกเราขึ้นสู่เสียวลิ้มยี่หรือยินยอมตกไปในเงื้อมมืออีเข่า จากนั้นตบคลายจุดที่แขนให้แก่มัน หยิบยื่นมีดบินให้เล่มหนึ่ง"

มันยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว "เราคาดว่าเพียงนี้ก็พอแล้ว"

ซิมไบ๊ไต้ซือเงียบชั่วขณะ พมพำว่า "เซี่ยวลี้ซิ้งตอ (มีดวิเศษของลี้น้อย)...โอ มีดที่รวดเร็วนัก"


ปฏิกิริยาของซิมไบ๊ไต้ซือแม้ไม่รวดเร็วพอ แต่มีพลังการฝึกปรือลึกล้ำกล้าแข็ง ตอนฟ้ามืดค่ำก็รีดเร้นพิษออกจากร่าง สีหน้ากลับคืนสู่สีแดงอิ่มเอิบอีกครา

จากนั้นทั้งหมดเสาะหาโรงเตี๊ยมที่เงียบสงบแห่งหนึ่งพักพำนัก เวลาอาหารค่ำก็มาถึงแล้ว...หลวงจีนมิเพียงต้องรับประทานข้าว ยังต้องนอนหลับพักผ่อน

ฉั้งฉิกประคองลี้ชิ้มฮัวนั่งลงบนเก้าอี้ ยิ้มพลางกล่าวว่า "เราตบคลายจุดบนมือของท่านข้างหนึ่ง เพื่อให้ท่านจับตะเกียบมิใช่ให้ท่านเคลื่อนไหววุ่นวาย เราไม่ปิดปากท่าน เพราะต้องการให้ท่านรับประทานข้าวมิใช่ให้ท่านกล่าววาจาเหลวไหล ท่านเข้าใจหรือไม่?"

ลี้ชิ้มฮัวทอดถอนใจกล่าวว่า "ขณะที่รับประทานข้าวไม่มีสุรา คล้ายกับผักที่ไม่ได้ใส่เกลือ จืดชืดไร้รสชาติ ไม่น่าสนใจยิ่ง"

ฉั้งฉิกกล่าวว่า "ท่านมีข้าวรับประทาน นับว่าไม่เลวแล้ว ยังคงโอนอ่อนผ่อนตามเถอะ"

วัดเสียวลิ้มยี่นั้นมีวินัยอันเข้มงวดจริงๆ ขณะที่หลวงจีนเสียวลิ้มยี่รับประทานอาหาร มิเพียงไม่กล่าววาจา ถึงกับไม่มีสรรพเสียงอื่นแม้แต่น้อย บนโต๊ะแม้มีผักไม่กี่อย่าง แต่พวกท่านรับประทานข้าวหักผักจืดชืดจนชาชินบวกกับตรากตรำการเดินทาง ท้องหิวกระหาย จึงรับประทานได้มากเป็นพิเศษ

มีแต่ซิมไบ๊ไต้ซือเพิ่งทุเลาจากอาการบาดเจ็บ เพียงรับประทานข้าวต้มเหลวคลุกน้ำตาลชามหนึ่ง ก็ไม่ยกตะเกียบคีบกับอีก ส่วนฉั้งฉิกสั่งอาหารเลิศรสมาหลายจาน ตระเตรียมรับประทานเพียงลำพัง จึงหิ้วท้องเอาไว้ไม่ร่วมวงด้วย

ลี้ชิ้มฮัวคีบเต้าหู้ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เพิ่งส่งถึงมุมปากก็ปล่อยวางลงร้องโพล่งว่า "กับนี้รับประทานไม่ได้"

ฉั้งฉิกกล่าวเสียงเนิบนาบว่า "หากลี้ท้ำฮวย (ทำ้ฮวยแซ่ลี้) ไม่คุ้นกับการรับประทานอาหารพื้นเพเช่นนี้ ได้แต่ทนหิวโหยแล้ว"

ลี้ชิ้มฮัวกล่าวเสียงทุ้มหนักว่า "ในกับมีพิษ"

ฉั้งฉิกหัวร่อดังๆ กล่าวว่า"มิให้ท่านดื่มสุรา ท่านก็เล่นลวดลายจริง ๆ เราทราบว่าท่าน..."

เสียงหัวร่อของมันพลันชะงักค้าง คล้ายถูกผู้คนบีบเค้นลำคอไว้

ทั้งนี้เพราะฉั้งฉิกพบว่า สีหน้าของหลวงจีนเสียวลิ้มยี่ทั้งสี่รูปแปรเลี่ยนเป็นสีเทาหม่นแล้ว แต่พวกท่านเองคล้ายไม่รู้สึกตัว ยังคงก้มหน้ารับประทานข้าว

ซิมไบ๊ไต้ซือก็หน้าเปลี่ยนสี กล่าวเสียงแหบพร่าว่า "รีบด่วน รีบเกร็งลมปราณขึ้นจากจุดตังชั้ง คุ้มครองชีพจรหัวใจไว้"

หลวงจีนเสียวลิ้มยี่เหล่านั้นยังไม่ทราบว่าเป็นเรื่องราวใด ยิ้มประจบกล่าวว่า "ซือเจ่กสั่งพวกเราหรือ?"

ซิมไบ๊ไต้ซือกล่าวอย่างร้อนรุ่มว่า "ย่อมสั่งต่อพวกเจ้า พวกเจ้าล้วนถูกพิษ หรือยังไม่รู้สึกตัว?"

หลวงจีนเสียวลิ้มยี่เหล่านั้นกล่าวว่า "ถูกพิษ? ผู้ใดถูกพิษ?"

ทั้งสี่สบตากันวูบ พากันร้องออกมาว่า "สีหน้าของท่านไฉน..."

ไม่ทันขาดคำ หวงจีนทั้งสี่พากันล้มลง รอจนซิมไบ๊ไต้ซือเพ่งมองดูใหม่ ใบหน้าทั้งสี่ใบล้วนแปรเปลี่ยนเป็นผิดสารรูป ดวงตาจมูกปากรวมเป็นกระจุกเดียว

หลวงจีนทั้งสี่มิเพียงถูกพิษที่ไร้สีไร้รส มิหนำซ้ำผู้ที่ถูกพิษไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อย รอจนรู้สึกตัวก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้

ฉั้งฉิกอดสยิวกายด้วยความหนาวเหน็บมิได้ ร้องโพล่งว่า "นี่เป็นพิษอันใด? ไฉนร้ายกาจถึงเพียงนี้?"

ซิมไบ๊ไต้ซือแม้มีตบะสมาธิอันหนักแน่น ยามนี้อดเกิดโทสะจิตมิได้ พุ่งตัวออกไป ตะปบคว้าผู้รับใช้คนหนึ่งเข้ามาราวกับคว้าจับลูกไก่ไว้ กล่าวเสียงเกรี้ยวกราดว่า "พวกท่านผสมพิษในอาหาร?"

ผู้รับใช้เห็นบนพื้นมีคนตายสี่คน แตกตื่นจนกระดูกอ่อนระทวยแต่แรกฟันในปากกระทบกันดังกึกกัก ไหนเลยตอบวาจาได้?

ลี้ชิ้มฮัวทอดถอนใจพึมพำว่า "หน้าโง่ หากเป็นข้าพเจ้าเจ้าแพร่พิษ คงหนีหายไปแต่แรก ยังอยู่ที่นี้ชมดูความสนุกสนานอันใด?"

ซิมไบ๊ไต้ซือยกมือหมายฟาดลง พอฟังพลันหยุดชะงักไว้ เลิกชายจีวรพุ่งตัวออกไป...ท่านได้เห็นลี้ชิ้มฮัวกล่าวเช่นนี้ ก็ฉุกคิดว่าผู้รับใช้นี้มิใช่คนแพร่พิษ

ฉั้งฉิกพุ่งตามติดออกไป เพิ่งออกนอกประตู ก็พุ่งย้อนกลับมาหนีบร่างลี้ชิ้มฮัวขึ้น กล่าวเสียงเย็นชาว่า "ต่อให้พวกเราล้วนถูกพิษเสียชีวิตท่านก็หนีไม่รอด ไม่ว่าอย่างไรเราต้องให้ท่านอยู่เป็นเพื่อนเรา เรามีชีวิตรอด ท่านก็มีชีวิตรอด เราตกตายท่านก็ต้องตกตาย"

ลี้ชิ้มฮัวยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า "คิดไม่ถึงท่านมีน้ำใจผูกพันต่อข้าพเจ้าถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่ท่านไม่ใช่หญิงงามแห่งยุค ข้าพเจ้าพานไม่มีความสนใจในตัวบุรุษเพศเดียวกัน"

เวลาอาหารผ่านไปแล้ว ห้องครัวคืนสู่ความสงบ พ่อครัวใหญ่ผัดผักสองอย่าง พ่อครัวรองจัดหาสุรามาป้านหนึ่ง  ทั้งสองนั่งไขว่ห้างเสพรับกับช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของวันนี้ ทั้งสองมีชีวิตอยู่ เพราะทุกวันล้วนมีช่วงเวลานี้

ซิมไบ๊ไต้ซือแม้ทั้งร้อนรุ่มทั้งขุ่นแค้น พอพบเห็นทั้งสองกลับตะลึงลานกับที่

สีหน้าของพ่อครัวทั้งสองกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาหม่นเช่นกัน

พ่อครัวใหญ่บังเกิดความเมามายอยู่สองส่วน ยิ้มพลางทักทายว่า "ไต้ซือ (ท่านมหาสมณะ) คิดมาขโมยดื่มสักสองถ้วยด้วยหรือ? ยินดีต้อนรับ..."

ไม่ทันขาดคำคนหงายร่างล้มลง ล้มลงบนเตา หม้อเหล็กที่ตั้งอยู่บนเตา ชนขวดน้ำมันพลิกล้ม น้ำมันไหลไปในหม้อเหล็ก ประกายน้ำมันแลบแปลบขึ้น

ในประกายน้ำมันกลับมีตะขาบสีแดงเพลิงตัวหนึ่ง

ที่แท้พิษอยู่ในน้ำมัน
พ่อครัวใหญ่ใช้น้ำมันนี้ผัดอาหารให้หลวงจีนเสียวลิ้มยี่รับประทาน ยังใช้น้ำมันนี้ผัดผักให้ตัวเองรับประทาน พลอยจบชีวิตอย่างเลอะเลือนงมงาย

พิษนับว่าหาพบแล้วแต่คนแพร่พิษเป็นใคร?
ลี้ชิ้มฮัวมองดูตะขาบในหม้อน้ำมัน ทอดถอนใจยาวกล่าวว่า "ข้าพเจ้าทราบแต่แรกว่ามันจะช้าเร็วต้องรุดมา"

ฉั้งฉิกกล่าวเสียงเกรี้ยวกราดว่า "ผู้ใด? ท่านทราบว่าคนแพร่พิษเป็นผู้ใด?"

ลี้ชิ้มฮวงกล่าวว่า "พิษในโลกสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภท หนึ่งเป็นพิษของแมกไม้สมุนไพร หนึ่งเป็นพิษของงูหนอน คนที่สามารถสกัดพิษจากแมกไม้สมุนไพรมีมากกว่า ผู้ที่สามารถรีดเร้นพิษจากงูหนอนมีจำนวนน้อยกว่า ผู้ที่สามารถใช้พิษของงูนอนฆ่าคนโดยไร้สภาพ มีเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่าคนนั้น"

ฉั้งฉิกร้องโพล่งว่า"ท่าน...หรือท่านหมายถึงโหงวตั๊กท้งจื้อ (ทารกเบญจพิษ) แห่งเก๊กลักตั่ง (ถ้ำสุขนิรันดร์) ดินแดนแม้ว?"

ลี้ชิ้มฮัวทอดถอนใจกล่าวว่า "ข้าพเจ้าก็ภาวนาว่าผู้มามิใช่มัน"

"ทารกเบญจพิษไฉนมาถึงแผ่นดินตงง้วน? มันมาทำอะไร?"

ลี้ชิ้มฮัวตอบว่า "มาหาข้าพเจ้า"

ฉั้งฉิกกล่าวว่า "หาท่าน? มันเป็น..."

คนผู้นี้ทราบดีว่าคนผู้นี้ต้องไม่มีสหายเช่นนี้ พอเอ่ยถึงกลางคันพลันกล้ำกลืนคำพูดไว้ เปลี่ยนเป็นกล่าวว่า "ดูว่าสหายของท่านมรไม่มาก ศัตรูกลับมีไม่น้อย"

ลี้ชิ้มฮัวกล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า "ศัตรูยิ่งมากยิ่งประเสริฐ สหายขอเพียงมีสักคนสองคนก็พอ ทั้งนี้เพราะบางครั้งสหายยังกลัวกว่าศัตรูมากนัก"

ซิมไบ๊ไต้ซือพลันกล่าวว่า " ท่านดูออกได้อย่างไรว่าในอาหารมีพิษ?"

ลี้ชิ้มฮัวกล่าวว่า "ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบดูออกได้อย่างไร จะอย่างไรข้าพเจ้าดูออกแล้ว"

เขายิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว "นี่เฉกเช่นกับข้าพเจ้าแทงไพเก้า หากข้าพเจ้า เห็นว่าประตูนั้นแทงได้ พอแทงลงไปจะไม่เล่นเสียเด็ดขาด หากผู้อื่นถามข้าพเจ้าทราบได้อย่างไร ข้าพเจ้าก็ตอบไม่ถูก"

ซิมไบ๊ไต้ซือจับจ้องมองลี้ชิมฮัวชั่วขณะ จึงกล่าวช้าๆ ว่า "ระหว่างทางผู้แซ่ลี้รับประทานอะไร พวกเราก็รับประทานเช่นนั้น"

ยังมีการเดินทางอีกสองวันค่อยบรรลุถึงภูเขาซงซัว ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดเสียวลิ้มยี่ืสองวันต้องเป็นสองวันที่ยาวนานที่สุด ทั้งนี้เพราะชาวยุทธจักรล้วนทราบว่า หากเจ้าของถ้ำสุขนิรัดร์ตั้งใจฆ่าคนผู้หนึ่งจะไม่มีเรื่องราวใดทำให้มันเลิกราแต่กลางคัน  อ่านตัวอย่างอีบุ๊คมีดบินไม่พลาดเป้า เล่ม 2 


มีดบินไม่พลาดเป้าเล่ม 1


อีบุ๊คชุด มีดบินไม่พลาดเป้า เล่ม 1-4


มีดบินไม่พลาดเป้า เล่ม 1
โก้วเล้ง, น.นพรัตน์
www.mebmarket.com
เรื่องราวเล่าถึง มีดสั้นยาวสามนิ้วเจ็ดหนุของลี้น้อยหรือลี้ชิ้มฮัวที่ไม่เคยพลาดเป้าและเป็นที่ครั่นคร้ามทั้งยุทธจักรเล่าถึงอาฮุยมือกระบี่ผู้เงียบขรึมแต่ระอุอุ่นด้วยน้ำใจ เล่าถึงลิ้มเซียนยี้ สตรีผู้มีความงามปานล่มเมือง และเล่าถึงเซี่ยงกัวกิมฮ้งยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแผ่นดิน ทุกคนผูกพันบุญคุณความแค้นของยุทธจักรโก้วเล้งดำเนินเรื่องราวอย่างคมคายด้วยปรัชญา เข้มข้นด้วยบทบู๊อันรวบรัด สมกับที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสุดยอดนวนิยายกำลังภายใจของมังกรโบราณท่านนี้
มีดบินไม่พลาดเป้า เล่ม 2
โก้วเล้ง, น.นพรัตน์
www.mebmarket.com
เรื่องราวเล่าถึง มีดสั้นยาวสามนิ้วเจ็ดหนุของลี้น้อยหรือลี้ชิ้มฮัวที่ไม่เคยพลาดเป้าและเป็นที่ครั่นคร้ามทั้งยุทธจักรเล่าถึงอาฮุยมือกระบี่ผู้เงียบขรึมแต่ระอุอุ่นด้วยน้ำใจ เล่าถึงลิ้มเซียนยี้ สตรีผู้มีความงามปานล่มเมือง และเล่าถึงเซี่ยงกัวกิมฮ้งยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแผ่นดิน ทุกคนผูกพันบุญคุณความแค้นของยุทธจักรโก้วเล้งดำเนินเรื่องราวอย่างคมคายด้วยปรัชญา เข้มข้นด้วยบทบู๊อันรวบรัด สมกับที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสุดยอดนวนิยายกำลังภายใจของมังกรโบราณท่านนี้
มีดบินไม่พลาดเป้า เล่ม 3
โก้วเล้ง, น.นพรัตน์
www.mebmarket.com
เรื่องราวเล่าถึง มีดสั้นยาวสามนิ้วเจ็ดหนุของลี้น้อยหรือลี้ชิ้มฮัวที่ไม่เคยพลาดเป้าและเป็นที่ครั่นคร้ามทั้งยุทธจักรเล่าถึงอาฮุยมือกระบี่ผู้เงียบขรึมแต่ระอุอุ่นด้วยน้ำใจ เล่าถึงลิ้มเซียนยี้ สตรีผู้มีความงามปานล่มเมือง และเล่าถึงเซี่ยงกัวกิมฮ้งยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแผ่นดิน ทุกคนผูกพันบุญคุณความแค้นของยุทธจักรโก้วเล้งดำเนินเรื่องราวอย่างคมคายด้วยปรัชญา เข้มข้นด้วยบทบู๊อันรวบรัด สมกับที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสุดยอดนวนิยายกำลังภายใจของมังกรโบราณท่านนี้
มีดบินไม่พลาดเป้า เล่ม 4 (จบ)
โก้วเล้ง, น.นพรัตน์
www.mebmarket.com
เรื่องราวเล่าถึง มีดสั้นยาวสามนิ้วเจ็ดหนุของลี้น้อยหรือลี้ชิ้มฮัวที่ไม่เคยพลาดเป้าและเป็นที่ครั่นคร้ามทั้งยุทธจักรเล่าถึงอาฮุยมือกระบี่ผู้เงียบขรึมแต่ระอุอุ่นด้วยน้ำใจ เล่าถึงลิ้มเซียนยี้ สตรีผู้มีความงามปานล่มเมือง และเล่าถึงเซี่ยงกัวกิมฮ้งยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแผ่นดิน ทุกคนผูกพันบุญคุณความแค้นของยุทธจักรโก้วเล้งดำเนินเรื่องราวอย่างคมคายด้วยปรัชญา เข้มข้นด้วยบทบู๊อันรวบรัด สมกับที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสุดยอดนวนิยายกำลังภายใจของมังกรโบราณท่านนี้

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น