วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ข้าพเจ้าตั้งใจเช่นนั้น พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว


เวลาเที่ยงคืนกับอีกสี่สิบนาทีของวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นช่วงเวลาที่ดึกสงัด โคมไฟที่สถานีรถไฟหลวงสวนจิตรลดาสว่างขมุกขมัว หาได้มีวี่แววของพวกทหารที่เข้าร่วมกับคณะราษฎรไปซุ่มคอยแต่อย่างใด จะมีก็แต่พวกลูกเสือที่ไปคอยเฝ้ารับเสด็จพร้อมกับพวกข้าราชการกระทรวงวังที่ยังจงรักภักดีอยู่นั้น ที่เมื่อขบวนรถไฟพระที่นั่งเข้าเทียบจอดชานชาลาแล้ว ได้เห็นพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงเสด็จกลับถึงกรุงเทพมหานครในเวลากลางดึกที่ทั้งเงียบและวังเวง คนเหล่านั้นก็ได้แต่พากันสลดใจ แต่ทั้งสองพระองค์ยังทรงอิริยาบทอ่อนโยนแจ่มใส ทั้งที่ขณะนั้นกำลังจะต้องต่อสู้กับความยุ่งยาก ในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญนี้

บทที่ ๑
พันเอก สมเด็จฯ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์

วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๔๓๖ เสียงปืนใหญ่ที่ดังจากป้อมพระจุลจอมเกล้าอาจปลุกผู้คนในสยามประเทศให้ตื่นขึ้นเพื่อยืนหยัดต่อสู้กับลัทธิไล่ลาอาณานิคม เมื่อเรือรบติดธงฝรั่งเศสสามลำล่วงล้ำเข้ามาในขอบเขตแห่งราชอาณาจักรซึ่งในท้ายสุดได้นำมาซึ่งการสูญเสียพื้นที่สยามเดิมในภูมิภาคอินโดจีนหลายส่วน วันที่ ๘ พฤศจิกายน ปีเดียวกันนั้นเอง สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระประสูติกาลพระราชโอรสพระองค์น้อย ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดช ที่เป็นพระราชโอรสองค์สุดท้อง ทรงมีพระนามอย่างลำลองว่า ทูลกระหม่อมเอียดน้อย หรือทูลกระหม่อมฟ้าน้อย

เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชทรงเป็นเจ้าชายที่มีพระพลานามัยไม่แข็งแรงนัก ทรงเจริญพระชนมายุระหว่างที่ประเทศสยามต้องเผชิญหน้ากับลัทธิไล่ลาอาณานิคมตะวันตก ในระหว่างที่วิกฤตการณ์ดังกล่าวดำเนินไป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเร่งดำเนินพระราโชบายในการพัฒนาประเทศสยามในทุกด้านอย่างต่อเนื่องเพื่อความเท่าทันกับอาณารยประเทศ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชจึงเจริญพระชนมายุขึ้นท่ามกลางกระแสแห่งการพัฒนาสยามประเทศด้วย

เจ้าศรีพรหมา กฤดากร ธิดาของพระเจ้าสุริยพงศ์ผริตเดช (เจ้าสุริย ณ น่าน) ผู้ครองนครน่านกับแม่เจ้าศรีคำ ชาวเวียงจันทน์ผู้เป็นหม่อมมารดา ซึ่งถวายตัวเป็นข้หลวงในสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนารถมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ด้วยผู้เป็นแม่จำเป็นต้องไปต่างประเทศ เป็นเพราะพระยามหิบาลบริรักษ์ ผู้เป็นสามีต้องไปรับราชการฑูตที่ประเทศรัสเซีย ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชเป็นครั้งแรกเมื่อครั้งยังทรงเป็นพระาชกุมารพระองค์น้อย ได้เขียนบันทึกเล่าไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติหม่อมศรีพรหมา กฤดากร

"จึงบ่ายวันหนึ่ง คุณแม่ก็ได้นำตัวผู้เขียน พร้อมทั้งธูปแพแลดอกไม้ ใส่พานเข้าไปในวัง คอยเฝ้าสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทีอัฒจรรย์ของพระที่นั่งสุทธาศรี พอบ่ายราง ๕ โมงเย็น สมเด็จก็เสด็จออกรับแขกที่ตรงอัฒจรรย์ชั้นสุดนั่นเอง ถ้าเป็นบ้านธรรมดาก็ว่าตรงหัวบันได ได้แต่บันไดพระที่นั่งกว้างใหญ่ ปูด้วยหินขาวกับดำงดงาม เมื่อทรงทราบความประสงค์ว่าจะพาลูกมาถวายฝาก ก็ทรงรับรองด้วยพระอัธยาศัยอันอ่อนหวาน ผู้เขียนแม้จะยังเด็กอยู่ ก็ยังรู้สึกกระแสแห่งความเมตตาแผ่มาสู่ เมื่อมองเห็นพระพักตร์ และพระเนตรที่หวานแลคมของพระองค์ ทรงรับดอกไมู้ปเทียน แล้วรับสั่งกับข้าหลวงคนหนึ่งว่า "ไปตามพ่อเอียดน้อยมา" พอสักประเดี๋ยวก็ได้เห็นเด็กชายตัวน้อยๆ รูปร่างแบบบาง ผิวขาว ทรงฉลองพระองค์แบบเสื้อกางเกงติดกันอย่างฝรั่งสีขาว ไว้พระเมาฬี (จุก) มีพวงมาลัยสวมรอบ ปักปิ่นพลอยอะไรอยู่กลาง เพชรรอบ มานั่งลงข้างสมเด็จ ผู้เขียนเข้าใจเอาเองว่าคงเป็นลูก คือพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เมื่อทรงพระเยาว์ พระชนมพรรษาระหว่าง ๓-๔ ปี ชาววังจะเรียกพระองค์ว่าทูลกระหม่อมเอียดน้อย สมเด็จรับสั่งว่า "แม่ได้ข้าหลวงใหม่ พ่อเอียดเอาไปเล่นด้วยไหมจ๊ะ" ทูลกระหม่อมเอียดน้อยทรงยิ้มอ่อนหวาน แต่ไม่รับสั่งตอบว่ากระไร รู้สึกว่าทรงอายหน่อยๆ แต่ประทับเคียงสมเด็จแม่เฉยๆ อยู่ ทำพระเนตรหยิบหน่อยๆ"

ในเวลานั้น เจ้าศรรีพรหมาฯเป็นเช่นเดียวกับหม่อมเจ้าชายและหญิงในพระบรมราชูปถัมภ์ อันเป็นพระราชกรณียกิจที่ได้พระราชทานแด่ผู้ที่นำบุตรธิดามาถวาย ที่เป็นกำพร้า ที่บิดามารดาต้องจากไปรับราชการต่างจังหวัดหรือต่างประเทศไกล หม่อมเจ้าชายและหญิงเหล่านี้ต่างเป็นพระสหายของทูลกระหม่อมเอียดน้อยและพระเชษฐาด้วยกันทั้งหมด

"ผู้เขียนจะอยู่ในวังได้กี่วันจำไม่ได้ ไม่ได้จำด้วยกัน เพราะไม่ทราบว่าจะได้มาเขียนเรื่องเมื่ออายุ ๖๐ ปี แต่ก็ได้มีคนมาตามให้ขึ้นไปเล่นกับทูลกระหม่อม ที่พระที่นั่งเทพดนัยซึ่งอยู่ตรงข้ามกับพระที่นั่งสุทธาศรี มีดาดฟ้าชั้นกลาง มีเฉลียงเดินติดต่อได้ โดยผ่านห้องน้ำเงินที่กล่าวมาแล้ว การขึ้นไปเล่นก็เล่นอย่างธรรมดามีก่อบ้านด้วยไม้ เขาทำขายเป็นหีบๆ เล่นตุ๊กตาทหารเป็นหีบๆ เล่นหุงข้าวแกงถ้วยเตาฝั่ง เล่นตีกลองเป่าแตร แล้วแต่ทูลกระหม่อมจะมีพระประสงค์จะเล่น แต่ที่เล่นสนุกที่สุดก็คือเล่นติ๊ต่าง ว่าเป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะได้เล่นกับทูลกระหม่อมเอียด เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ (กรมขุนนครราชสีมา) พระเชษฐาของพระปกเกล้าฯ ตามธรรมดาพระเชษฐาจะทรงเล่นกับหม่อมเจ้าชาย เล่นเป็นทหารและโปลิศ จะไม่ทรงร่วมกับพระอนุชา เพราะมีแต่ผู้หญิง ยังทรงเรียกว่าพวกจู๊ดจี๊ดเสียอีก พวกผู้หญิงก็ตั้งแง่แสนงอน ไม่อยากจะไปแตะต้อง แต่วันหนึ่งเหตุการณ์จะผันแปรไปอย่างไรไม่ปรากฏ จำไม่ได้ พระเชษฐาได้ทรงชวนพระอนุชาว่าเล่นเป็นหม่อมป๋ากับแม่เล็กกันไหม อธิบายกันสองสามคำเป็นการตกลง ว่าให้พระอนุชาน้อยเป็นนายหลวง พาพระมเหษีและเจ้าจอมไปประพาสทะเลและเกาะต่างๆ ด้วยเรือพระที่นั่งจักรี ตอนนี้พวกผู้ชายอาจจะเกิดอยากเล่นกับผู้หญิง จึงคิดหาเรื่องให้มาเล่นรวมกันจนได้ และได้ช่วยกันจัดเรือพระที่นั่ง โดยนำเอาเรือกลไฟลำใหญ่ของเล่นยาวประมาณ ๑ เมตรกว่าๆ มาตั้งกลางห้อง เอาหีบของเล่นต่างๆ มาล้อมเรือ ตีวงกว้างจนทุกคนเข้าไปนั่งและยืนได้ ทรงมอบพระอนุชาให้จัดการภายใน คือหาตัวมเษีและเจ้าจอม ส่วนพระเชษฐาเองจะเป็นกัปตัน หม่อมเจ้าชายเหล่านั้นทำหน้าที่ต่างๆ ตามระเบียบในเรือเท่าที่จำได้ โดยคอยตามเสด็จพระราชดำเนิน ตอนนี้จะเห็นว่าพระอนุชา แม้จะยังทรงพระเยาว์มาก ก็สามารถกระทำหน้าที่เลือก แม่เล็ก คือสมเดผ้จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี ซึ่งได้แก่เจ้าหญิงทัศนี ซึ่งตามธรรมดาก็โปรดปรานอย่างยิ่งอยู่แล้ว จนขาดไม่ได้เลย ถ้าไม่จำเป็นถวายข้าวเสวยก็ต้องท่านหญิงใหญ่องค์เดียวเท่านั้น เจ้าจอมตัวโปรดในเวลานั้นคือ เจ้าจอมชุ่ม พี่พระยาบุรุษรัตนราชวัลลภ ผู้เขียนได้รับตำแน่งนั้น และคนอื่นๆ ก็รับหน้าที่ต่างๆ กันไปฝ่ายในพระอนุชาทรงควบคุม ฝ่ายหน้าเป็นหน้าที่ของพระเชษฐา ถ้าถึงเกาะอะไรที่โปรดก็จะพาพระมเหษีและราชบิพารลง เช่นถึงเกาะพะงันก็จะเสด็จที่น้ำตก สรงน้ำและเก็บรังนกนางแอ่น หอยปู ของเหล่านี้จะใช้ขนมปังหีบ ลูกกวาด ช็อกโกแล็ต ผู้เขียนเป็นคนไปเบิกมาจากคุณชมพี่เลี้ยง ซึ่งเป็นต้นห้องเก็บสัมภาระต่างๆ ของสมเด็จ เล่นแล้วก็รับประทานกันทันทีเลย ต่อไปทุกๆ วันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดทรงพระอักษรและหยุดเรียนของบรรดาหม่อมเจ้าและมิใช่เจ้าชายหญิง ก็ได้ร่วมเล่นอื่นๆ กันตลอดมา เช่นเทศน์มหาชาติ พระเชษฐาและหม่อมเจ้าชายที่ไม่ขี้อายบางองค์ จะรับหน้าที่เป็นพระเทศน์ องค์อื่นก็เป็นอุบาสกอุบาสิกา ต่างก็จะต้องจัดหาเครื่องภัณฑ์ แล้วแต่ปัญญาและความสามารถของแต่ละคนไป ใครแต่งดีกว่าเพื่อนก็จะได้รางวัล"

เรื่องการละเล่นนี้ บางครั้งก็สนุกและซุกซนตามที่ยังทรงพระเยาว์อยู่

ในการเล่นตกแต่งฉากละครเลียนเป็นเรื่องชาดก บางครั้งทูลกระหม่อมสองพระองค์รับสั่งให้เบิกลูกกวาด ช็อกโกแล็ต มาใช้ตกแต่งเข้ากับฝาลังไม้ และฝากระป๋องนมโดยสมมุติเอาว่าเป็นต้นไม้ไบไม้ โดยเฉพาะขี้ผึ้งเป็นของหายากที่สุด เพราะพระนมยิ้มผู้เก็บเป็นคนแก่หวงของและเห็นว่าเบิกมามากแล้ว ครั้นจะขัดรับสั่งทูลกระหม่อมก็ไม่ได้ จึงปิดกุญแจขังตัวเองไว้ในห้อเพื่อลวงว่าตนไม่อยู่ให้เบิกขี้ผึ้งไปใช้เล่นได้อีก ผู้รับใช้ที่เป็นหม่อมเจ้าชายจึงไปเลาะดูที่ห้อง เพื่อจะย่องเบาแบ่งเอาขี้ผุึ้งมาใช้เล่นบ้าง แต่หน้าต่างก็ติดลูกกรงเหล็กปีนเข้าไม่ได้ พอปีนป่ายหาช่องแอบดู กลับเห็นพระนมยิ้มนอนอ่านหนังสือธรรมอยู่ในห้อง พยายามอ้อนวอนขอก็ไม่ยอมเบิกให้ หม่อมเจ้าชายเหล่านั้นบันดาลโทสะปรึกษากันว่าจะเอาเทียนจุดไฟเสียบไม้ไปจี้ให้ลุกขึ้นเอาขี้ผึ้งส่งให้ และก็ทำเช่นนั้นจริง จนพระนมยิ้มต้องลุกขึ้นหยิบส่งให้

ในสมัยนั้นมีธรรมเนียมนิยมให้เด็กไว้ผมเป็นหย่อมกลางศีรษะเพื่อเป็นที่อยู่ของขวัญ เป็นความเชื่อว่าขวัญเป็นศูนย์รวมของชีวิต ทำให้เด็กแ็งแรงและเลี้ยงง่าย แล้วจึงจัดงานโกนจุกตามธรรมเนียมแบบอย่างศานาพราหมณ์ สำหรับเด็กหญิงจะโกนจุกเมื่ออายุ ๑๑ ปี ส่วนเด็กผู้ชายจะโกนจุกเมื่ออายุได้ ๑๑-๑๓ ขวบปี 

เมื่อทรงเจริญพระชนมมายุได้ ๑๒ พรรษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมจัดพิธีโสกัณต์แก่เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชพร้อมกันกับพระเจ้าลูกยาเธออุรุพงษ์รัชสมโภชน์ เป็นธรรมเนียมว่าพระบรมวงศ์ชั้นเจ้าฟ้า เมื่อโสกัณฑ์แล้วจะได้รับการเฉลิมพระเกียรติยศเป็นเจ้าฟ้าต่างกรม หรือที่เรียกกันว่า ทรงกรม ที่ในราชกาลก่อนมานิยมตั้งชื่อพระนามเป็นชื่อในทางมงคล หากในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทรงนิยมตั้งชื่อพระนามของพระราชโอรสพระราชธิดาเป็นชื่อเมืองสำคัญๆ ในพระราชอาณาจักรตามแบบอย่างอังกฤษ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดช จึงได้รับพระสุพรรณบัตรเฉลิมพระนามเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดช กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา แต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ด้วยพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่โปรดให้ส่งพระโอรสไปศึกษายังประเทศต่างๆ ในยุโรป เพื่อให้ได้รับความรู้กลับมาพัฒนาประเทศสยามต่อไป ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดช ได้ทรงเสด็จศึกษาต่อยังประเทศอังกฤษ ทรงเข้ารับการศึกษาที่วิทยาลัยอีตัน อันเป็นวิทยาลัยเก่าแก่ที่ก่อตั้งโดยพระเจ้าเฮนรี่ที่ ๖ แม้จะดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายแห่งสยาม แต่ก็ทรงดำรงตนเช่นเดียวกับเด็กชายชาวอังกฤษทั่วไป ทรงศึกษาและมีความสนใจในกีฬา ภาษา ดนตรี และวิชาประวัติศาสตร์มากเป็นพิเศษ

ข้าพเจ้าตั้งใจเช่นนั้น พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ไมเคิ้ล เลียไฮ
www.mebmarket.com
เวลาเที่ยงคืนกับอีกสี่สิบนาทีของวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นช่วงเวลาที่ดึกสงัด โคมไฟที่สถานีรถไฟหลวงสวนจิตรลดาสว่างขมุกขมัว หาได้มีวี่แววของพวกทหารที่เข้าร่วมกับคณะราษฎรไปซุ่มคอยแต่อย่างใด จะมีก็แต่พวกลูกเสือที่ไปคอยเฝ้ารับเสด็จพร้อมกับพวกข้าราชการกระทรวงวังที่ยังจงรักภักดีอยู่นั้น ที่เมื่อขบวนรถไฟพระที่นั่งเข้าเทียบจอดชานชาลาแล้ว ได้เห็นพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงเสด็จกลับถึงกรุงเทพมหานครในเวลากลางดึกที่ทั้งเงียบและวังเวง คนเหล่านั้นก็ได้แต่พากันสลดใจ แต่ทั้งสองพระองค์ยังทรงอิริยาบทอ่อนโยนแจ่มใส ทั้งที่ขณะนั้นกำลังจะต้องต่อสู้กับความยุ่งยาก ในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญนี้

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น